คนส่วนใหญ่คิดและมองความสำเร็จในชีวิตด้วยจำนวนเงินในกระเป๋า
ซึ่งนั้นก็ไม่ผิดครับ เพราะคำว่ารวย มันคือการมีเงินมาก แต่พอสภาพแวดล้อมรอบข้างมันเป็นแบบนี้มากๆเข้า
พอเราอยากประสบความสำเร็จ เราก็พุ่งเป้าไปที่ภาพที่เราวาดไว้ว่าคนรวยต้องมีเงิน
ดังนั้น ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมา ซึ่งมันก็มีคนที่ไปถึงจุดนั้นได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
เป็นปกติ
คนที่ทำไม่ได้ก็มีข้อโต้แย้ง
และข้อแก้ต่างมากมายต่างกันไป ขอยกตัวอย่างข้อแก้ต่างบางข้อนะครับ
1. คนเราเกิดมามีต้นทุนไม่เท่ากันนิ
ขอแย้งกลับด้วยการเล่าเรื่องนี้ครับ
มีชายหนุ่มคนหนึ่งครอบครัวอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีเงินไทยติดมาซักแดง ครั้งแรกที่เริ่มทำงาน
เขาไปทำงานที่ร้านเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อตอนอายุได้ 19 ปี โดยทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ หลังจากนั้นก็ย้ายไปทำงานที่สหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย และบริษัทสห สามัคคีค้าสัตว์ จำกัด (ตามลำดับ) จนเมื่ออายุ 25 ปี ได้กลับมาทำงานอีกครั้งที่เจริญโภคภัณฑ์
ปัจจุบันแกก็ยังทำงานที่นี่ครับ แต่ในฐานะ “เจ้าของ” ชายคนนี้ ชื่อว่า ธนินท์ เจียรวนนท์ ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐฐีอันดับต้นๆของประเทศไทย จะเห็นว่าเสี่ยธนินท์
ไม่ได้รวยตั้งแต่เกิดนะครับ
2. ฉันไม่รวยเพราะฉันโชคร้าย
จังหวะชีวิตไม่ดี
ขอยกตัวอย่างสตีฟ จ๊อบ ชายผู้ซึ่งเคยถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งด้วยซ้ำ
ถ้าฟังหรือได้อ่านคำสัมภาษณ์ของเขาในหลายๆครั้ง เขามีมุมมองว่า “การ ถูกไล่ออกจากบริษัทApple
กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม ภาระหนักอึ้งของความสำเร็จมันถูกแทนที่ด้วยภาระที่แทบจะไม่มีเลย เปิดโอกาสให้ผมเป็นผู้ริเริ่มอีกครั้ง
ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณจะมั่นใจได้เลย แต่มันก็ได้ปลดปล่อยให้ผมได้เข้ามาสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ทีสุดในชีวิต”
ใครจะว่าสตีฟ จ๊อบ โชคร้ายในตอนนั้น? ผมว่า ทุกๆคนในโลกนี้ล่ะ
ไม่ว่าจะจน จะรวย เจอเรื่องแย่ๆกันทุกคน แล้วแต่ว่าจะเจอในช่วงเวลาไหน แต่วิธีการคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งนี้แยกคนออกมาเป็น 2 ประเภท คือ คนที่มีความสุข กับ
คนที่จมอยู่กับความทุกข์ คุณว่าคนแบบไหนสมควรได้รับรางวัลเป็น “ความรวย” เป็นการตอบแทน??
3. คนรวยถ้าไม่ได้รวยตั้งแต่เกิด
ส่วนใหญ่เขาฉลาดด้วยนะ ส่วนฉันไม่ใช่แบบนั้น
อันนี้เถียงยากครับ เพราะไม่ได้มีการวัดไอคิวเศรษฐีมาหาค่าเฉลี่ยดูว่าไอคิวพวกเขาเหล่านั้นอยู่
ในระดับไหน แต่จากประสบการณ์ที่เห็นหลายๆคน บางคนไม่ได้เป็นคนเก่งมากมาย แต่เพียงเพราะเขารักในสิ่งที่เขาทำ
มันเลยทำได้ดีกว่าคนทั่วไป ลองอ่านบทสัมภาษณ์เศรษฐีที่โตได้ด้วยตัวเองดูนะครับ
หรือลองค้นใน google ดูว่า นักคิด
หรือคนรวยที่เชียนหนังสือพวกชี้ช่องรวยต่างๆเนี่ย เขามองว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง …
ผมไม่เห็นมีใครเชียนเลยว่า ต้องเป็นคนฉลาด แต่เขียนกับเกือบทุกคนว่า
ต้องเป็นคนขยัน และรักในสิ่งที่ตัวเองทำ
สุดท้ายจะเป็นคนแบบไหน มันเริ่มจากความคิดของคนนั้นๆครับ
คุณหนูดี วนิษา เรซ เคย ให้ข้อคิดเด็ดๆ ซึ่งผมชอบมากมาประโยคหนึ่งก็คือ
สมองไม่สามารถแยกระหว่าง “ความคิด” และ
“สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราไม่เก่ง
ไม่ขยัน หรือชาตินี้ไม่มีทางรวย เราก็จะเป็นอย่างนั้น ผมว่าจริงนะ
เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วจากรูปความแตกต่างระหว่าง
คนจน และ คนรวย จะกล่าวโดยสรุปก็คือ “คนรวยคิดบวก คนจนคิดลบ” ลอง สำรวจดูนะครับ เวลาเราเจอกับปัญหา หรือว่าดำเนินชีวิตไปตามปกติ เราชอบคิดแบบไหน
บวกหรือลบ และถ้าคิดลบเยอะ ก็อย่ามัวตัดพ้อต่อว่าตัวเองอยู่ ไม่อย่างนั้น เราก็จะเป็นแบบที่เราเคยเป็นอย่างนั้นต่อไป
มาเปลี่ยนความคิดกัน ณ วันที่เรายังมีลมหายใจกันอยู่นะครับ 

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น